วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

วิธีบันทึกรูปภาพแอพภาพการ์ตูนสุดฮิต (mo-man-xiang-ji) และวิธีแชร์ไปยัง Facebook สำหรับ Android

หลังจากที่เมื่อวาน แนะนำแอพ 魔漫相机 สร้างภาพวาดการ์ตูน ที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้ สำหรับผู้ที่ใช้ Android จะมองไม่เห็นรูปภาพเนื่องจากไฟล์จะเป็นนามสกุล .bshn ซึ่งตัวเครื่องจะไม่เห็นนะครับ เดี๋ยวจะแนะนำวิธี rename ไฟล์เป็น .jpg เพื่อให้เห็นภาพและแชร์ไปยัง facebook ได้ทันทีกันนะครับ


สิ่งที่ต้องมี

หลังจากที่ติดตั้งทั้ง 2 แอพเรียบร้อยแล้ว และแต่งภาพด้วยแอพ 魔漫相机 เลือก save แล้ว จากนั้นให้เปิดแอพES File Explorer File Manger ขึ้นมานะครับ แล้วไปที่ช่อง Search พิมพ์ MomanCamera แล้วจะเจอชื่อไฟล์รูปภาพที่บันทึกไว้ หรือหา Folder แบบในภาพด้านล่างภาพแรกนะครับ เข้าไปใน Folder ได้เลย แล้วจะเจอกับ album ภาพจะอยู่ในนั้นครับจะขึ้นเป็นเครื่องหมาย ? อยู่
001

จากนั้นให้แตะภาพค้างไว้ครับ แล้วเลือกที่ Rename เลื่อนไปทางขวาเพื่อไปแก้ไขนามสกุลจาก .bshn เป็น .jpg แล้วเลือก OK
002

เลือก OK เรียบร้อยแล้วก็จะเห็นเป็นภาพที่เราบันทึกไว้ขึ้นมานะครับ จากนั้นเราจะแชร์ไปยัง facebook กันนะครับ เลือกไปที่ More > Sahre > Facebook เพียงแค่นี้เราก็สามารถแชร์ไปยัง Facebook ได้แล้ว
003
หรืออีกวิธีสามารถแชร์ภาพที่แต่งเสร็จแล้วจากแอพ (mo-man-xiang-ji) แล้วแชร์ไปยังแอพ Wechat จากนั้น save มาเพื่อแชร์ไปยัง facebook ก็สามารถทำได้เช่นกันนะครับ แต่งภาพแล้วเอามาอวดกันบ้างนะครับ

Credit : iPhone-Droid

วิธีเพิ่มความเร็วให้ Android Device


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

          เชื่อว่าใครหลายคนที่ใช้แอนดรอยด์มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว อาจพบว่าตัวเครื่องนั้นทำงานช้าลง หรืออาจกินแบตเตอรี่มากกว่าตอนที่เพิ่งซื้อมาใหม่ ๆ ซึ่งมีสาเหตุมาจากการที่เราดาวน์โหลดแอพฯ มาลงเครื่องมากขึ้น หรือเปิดแอพฯ ให้ทำงานทิ้งไว้หลาย ๆ แอพฯ รวมทั้งสาเหตุอื่น ๆ อีกมากมาย (ภาพประกอบเป็นของสมาร์ทโฟน Sony Xperia)

1. ทำความรู้จักอุปกรณ์ของเราก่อน

          อย่างแรกที่ควรทำเลยก็คือทำความรู้จักกับอุปกรณ์แอนดรอยด์ของเรากันก่อน ว่ามีสเปคและคุณสมบัติอย่างไรบ้าง ซึ่งควรเลือกใช้แอพพลิเคชั่นที่เหมาะสมกับสเปคของเครื่อง เพื่อไม่ให้แอพฯ นั้นกินทรัพยากรเครื่องมากเกินไปนั่นเอง


2. อัพเดทแอนดรอยด์เป็นเวอร์ชั่นใหม่สุดเสมอ

          แอนดรอยด์ได้มีการพัฒนาและอัพเดทอยู่เป็นระยะ ๆ ดังนี้เราจึงควรอัพเดทให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดอยู่เสมอ ๆ เนื่องจากแอนดรอยด์ที่ถูกพัฒนาเป็นเวอร์ชั่นใหม่ ๆ นั้นได้มีการปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้อย่างสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อย ๆ


3. ลบแอพฯ ที่ไม่ได้ใช้งานออก
          ทุก ๆ แอพฯ ที่เราได้ลงไว้จะใช้พื้นที่หน่วยความจำในเครื่อง และอาจกินทรัพยากรเครื่องด้วยหากแอพฯ นั้นเปิดทำงานแบบอัตโนมัติ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เครื่องมีอาการอืดและทำงานช้าลง เราจึงควรเลือกลบ (Uninstall) แอพฯ ที่ไม่ได้ใช้งานหรือไม่จำเป็นออกไป และเลือกลงเฉพาะแอพฯ ที่ต้องใช้งานจริง ๆ เท่านั้น


4. ปิดการทำงานแอพฯ ที่ไม่จำเป็น

          ด้วยฟีเจอร์ Performance assistant ที่เพิ่มเข้ามาในแอนดรอยด์ 4.0 ICS นี้ สามารถให้คุณเลือกปิดการทำงาน (Disable) แอพฯ ที่คุณไม่ได้ใช้งานช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ต่างกับการลบแอพฯ ออกจากเครื่องตรงที่ตัวแอพฯ ยังคงอยู่ในเครื่องเหมือนเดิม เพียงแค่ไม่แสดงในหน้า Home Screen หรือเมนูเลือกแอพฯ เท่านั้น ซึ่งสามารถเปิดให้ทำงานใหม่ได้เมื่อต้องการกลับมาใช้งานแอพฯ นั้น ๆ


5. อัพเดทแอพฯ อย่างสม่ำเสมอ

          ทุก ๆ แอพฯ ที่ดาวน์โหลดจาก Google Play มักมีการอัพเดทจากผู้พัฒนาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งเราควรอัพเดทแอพฯ ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่สุดอยู่เสมอ ๆ เนื่องจากผู้พัฒนาจะปรับปรุงและแก้ปัญหาต่าง ๆ ของแอพฯ ให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่ดีขึ้น และอาจทำงานได้เร็วขึ้นกว่าเดิมด้วย



6. เลือกใช้การ์ดหน่วยความจำความเร็วสูง

          ถึงแม้สมาร์ทโฟนจะมีหน่วยความจำในตัวเครื่องอยู่แล้ว แต่เมื่อเราใช้งานไปจนเหลือพื้นที่น้อยลง อาจส่งผลให้เครื่องทำงานช้าลงได้ ซึ่งการใส่การ์ดหน่วยความจำ (Memory Card) เพิ่มนั้นย่อมช่วยแก้ปัญหานี้ได้ เพราะการมีเนื้อที่หน่วยความจำว่างมากขึ้น จะช่วยให้ระบบสามารถทำงานได้เร็วขึ้นไม่มากก็น้อย โดยให้เลือกการ์ดหน่วยความจำที่มีคุณภาพดีและความเร็วสูง เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพในการใช้งานที่มากขึ้น


7. ใช้ Widget ให้น้อยลง

          Widget ที่เป็นลูกเล่นต่าง ๆ เอาไว้วางบนหน้าจอ Home Screen นั้นจะทำงานตลอดเวลา ต่างกับแอพพลิเคชั่นทั่วไปที่มักทำงานเฉพาะตอนที่เราเปิดใช้เท่านั้น ซึ่งการวาง Widget ไว้บนหน้าจอ Home Screen มาก ๆ จะกินทรัพยากรเครื่องเยอะและส่งผลให้เครื่องทำงานได้ช้าลง เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกใช้ Widget ให้เหมาะสมกับสเปคของเครื่อง และใช้เท่าที่จำเป็นเท่านั้น



8. เลี่ยงการใช้ Live Wallpaper

          Live Wallpaper หรือภาพพื้นหลังแบบเคลื่อนไหวได้นั้น เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ใช้แอนดรอยด์จำนวนมาก เนื่องจากมันดูสวยงามและเพิ่มความหรูหราให้กับอุปกรณ์แอนดรอยด์ได้ดีเลยทีเดียว แต่ในทางกลับกัน Live Wallpaper ก็เป็นฟีเจอร์หนึ่งที่กินทรัพยากรเครื่องและแบตเตอรี่ไม่ใช่น้อยเช่นกัน ซึ่งหากเรารู้สึกว่าเครื่องทำงานช้า อยากให้ทำงานเร็วขึ้น หรือแบตเตอรี่ใช้นานขึ้น ก็ควรเลี่ยงไปใช้ภาพพื้นหลังแบบปกติแทน

9. ใช้ระบบ Auto Sync เท่าที่จำเป็น

          ระบบ Auto Sync ของแอนดรอยด์เป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ๆ เนื่องจากมันสามารถเชื่อมต่อกับเซิฟเวอร์ของกูเกิลเพื่อคอยรายงานแจ้งเตือนการอัพเดทต่าง ๆ ให้เราทราบทันทีได้ตลอดเวลา เช่น ได้รับอีเมลใหม่, ได้รับข้อความใหม่, อัพเดทแอพฯ เวอร์ชั่นใหม่ ฯลฯ แต่มันก็มีข้อเสียเหมือนกัน เพราะเครื่องจะทำงานตลอดเวลาเพื่อเชื่อมต่อรับข้อมูลอัพเดทเป็นระยะ ๆ ซึ่งหากเราใช้งานแอพฯ อื่น ๆ ไปพร้อม ๆ กันก็อาจทำให้เครื่องทำงานช้าลงได้ รวมทั้งยังกินแบตเตอรี่มากขึ้นอีกด้วย



10. ปิดการใช้อินเทอร์เฟซแบบเคลื่อนไหว

          อินเทอร์เฟซแบบเคลื่อนไหว (Animation) คือการเคลื่อนไหวของอินเทอร์เฟซเวลาที่เราใช้นิ้วลากหรือเลื่อนเมนูหรือแถบต่าง ๆ บนหน้าจอ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่กินทรัพยากรเครื่องไม่ใช่น้อยเลย โดยถ้าเราปิดฟีเจอร์นี้ เวลาที่เราลากนิ้วไปมาจะไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ บนหน้าจอ แต่ภาพจะตัดไปที่เมนูหรือหน้าจออื่น ๆ ทันทีเลย ถึงแม้จะดูไม่ค่อยสวยงามสักเท่าไหร่ แต่มันก็ทำให้เครื่องทำงานได้เร็วขึ้นพอสมควรเลย


11. ใช้แอพฯ ประเภท Task Killer

          แอพฯ ประเภท Task Killer หรือ Task Manager นั้นมีความสามารถในการปิดแอพฯ ที่เปิดทำงานทิ้งไว้โดยไม่จำเป็น ซึ่งสามารถตั้งเป็นแบบอัติโนมัติได้ด้วย ถือเป็นแอพฯ ที่มีประโยชน์และควรมีติดเครื่องไว้มาก ๆ เลยทีเดียว


12. เลือกใช้แอพฯ ที่มีขนาดเล็ก

          แอพฯ ประเภทเดียวกัน อาจมีขนาดที่ไม่เท่ากันก็ได้ บางแอพฯ อาจมีขนาดเล็ก แต่บางแอพฯ ก็อาจมีขนาดใหญ่กว่า ซึ่งแอพฯ ที่มีขนาดใหญ่จะส่งผลให้กินทรัพยากรเครื่อง โดยเฉพาะแรม ในขณะใช้งานมากกว่าแอพฯ ที่มีขนาดเล็ก เพราะฉะนั้นเราจึงควรเลือกใช้แอพฯ ที่มีขนาดเล็กกว่าในกรณีที่แอพฯ มีคุณสมบัติเหมือนหรือใกล้เคียงกัน และควรเลือกใช้แอพฯ ที่มีฟีเจอร์เท่าที่เราต้องการใช้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องใช้แอพฯ ขนาดใหญ่ที่มีฟีเจอร์มากเกินไปทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ใช้ 

13. Restore (วิธีนี้ใช้เมื่อเครื่องอืดจนทำอะไรไม่ได้เลย =_=)
         
           ทำการคืนค่าโรงงานให้กับเครื่อง เครื่องจะเร็วเหมือนซื้อใหม่ครับ แต่วิธีนี้ข้อมูลจะหายหมด ต้องทำการแบคอัพไว้ก่อนนะครับ

          ด้วยคำแนะนำทั้ง 12 ข้อนี้ จะช่วยอุปกรณ์แอนดรอยด์ของท่านสามารถทำงานได้รวดเร็วและราบรื่นมากยิ่งขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลยล่ะ ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับชาวแอนดรอยด์ทั้งหลายไม่มากก็น้อยนะครับ ^_^

Credit - Kapook.com

แก้ปัญหา iOS 7 ต่อ iTune แล้วฟ้องให้ Restore

แก้ปัญหา iOS 7 ต่อ iTune แล้วฟ้องให้ Restore

หลังจากที่มีการอัพเกรด iOS 7 หลายคนที่ใช้โปรแกรม iTools ในการลงเพลงหรือจัดการข้อมูลต่างๆภายในเครื่อง ซึ่งหลังจากมีการอัพเดทเป็น iOS 7 จะทำให้เครื่องติด Error เมื่อต่อ iTune โปรแกรมจะเตือนให้ Restore เครื่อง ซึ่งเรายังไม่ได้ทำการ Backup ข้อมูลเพราะไม่สามารถเข้าไป Backup ใน iTune ได้ดังนั้นหาก Restore ไปแล้วข้อมูลจะหายหมด วันนี้ผมจึงมาบอกวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวนะครับ


ให้เราทำการต่อ iDevice เข้ากับคอมพิวเตอร์แล้วเปิดโปรแกรม iTools เวอร์ชั่นล่าสุดขึ้นมา แล้วไปที่
File System > iTunes_Control > iTunes

หมายเหตุ : iTools ที่ผมใช้เป็นตัว Full Version เลยไม่มีภาษาอังกฤษ แต่ตำแหน่งของ icon ต่างๆจะเหมือนกับเวอร์ชั่นทั่วไปให้เข้าตามตำแหน่ง icon ตามภาพข้างล่างนี้เลยครับ


แล้ว Rename iTunesCDB ให้เป็น iTunesCDB_bk
จากนั้นให้ถอดสายออกแล้วเสียบใหม่ ทีนี้เราก็จะสามารถเข้า iTune ได้แล้วครับ ^ ^


เป็นวิธีง่ายๆ ทำเองได้ ไม่ต้องเข้าศูนย์ ข้อมูลไม่หายด้วยครับ

วันอังคารที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2556

กล้อง iPhone 5s ชนะ Lumia 1020

ทีมงานจากเว็บไซต์ Laptopmag.com หยิบ iPhone 5s กับ Nokia Lumia 1020 มาประลองความสามารถเรื่องการถ่ายภาพผ่านการดำเนินชีวิตประจำวัน ซึ่งทีมงานได้ทดสอบกล้องของโทรศัพท์มือถือทั้งสองรุ่นด้วยการถ่ายภาพ 10 แบบ และไม่พึ่งแอพตัวช่วยแต่อย่างใด โดยภาพที่เพื่อนๆ จะได้ชมต่อไปนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างชัดเจนว่าเพราะเหตุใดกล้อง iPhone 5s ที่มีความละเอียดเพียง 8 ล้านพิกเซลถึงเอาชนะ Nokia Lumia 1020 ที่มีความละเอียดสูงถึง 41 ล้านพิกเซลได้อย่างสบาย และนี่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยตัดสินใจเลือกซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ได้ไม่ยากอีกด้วยครับ

Bottles


Coffee Machine


Octopus


Scarves


Lower Manhattan at Night


NYC Skyline


Pumpkin Chair


Grover with Flash


Low-Light Images (Flower with No Flash)


Close-Up of Gourds


Verdict

ปัจจุบันกล้อง iPhone 5s ไม่ได้เพิ่มความละเอียดของกล้องหลักได้อย่างใดยังคงความละเอียด 8 ล้านพิกเซล แต่ Apple ได้พัฒนารูรับแสงและแฟลชให้เหมาะกับการถ่ายภาพได้ง่ายๆในทุกสถานการณ์ ขณะที่ Nokia Lumia 1020 กล้องหลักมีความละเอียดสูงถึง 41 ล้านพิกเซล แต่การจะถ่ายรูปให้ได้ตามใจผู้ใช้ยังต้องปรับค่า ISO, ความเร็วชัตเตอร์, สมดุลสี รวมถึงการตั้งค่าอื่นๆ ซึ่งดูแล้วการใช้โทรศัพท์มือถือในลักษณะแบบนี้น่าจะเหมาะกับช่างภาพมากกว่าที่จะเป็นผู้ใช้ธรรมดาๆ

Credet : Arip

Lock การใช้แอพ ความสามารถพิเศษใน iOS 7

Lock การใช้แอพ (Guided Access) on iOS7

เกริ่นนำนิดนึง ความจริงแล้วความสามารถนี้เอาไว้ใช้ในกรณีที่ครูต้องการให้นักเรียนใช้งานแอพเพียงแอพเดียวเพื่อใช้ในการเรียนการสอน แต่เราสามารถนำมาประยุกต์ได้ เนื่องจากทุกวันนี้ข้อมูลแทบจะทุกอย่างของเราอยู่ในสมาร์ทโฟนกันหมดแล้ว ดังนั้นหากมีใครขอยืมโทรศัพท์ของเราไป เช่นยืมไปโทร ยืมใช้ Web browser เป็นต้นก็อาจจะทำให้ข้อมูลความลับของเราไม่ปลอดภัย วันนี้ผมจึงมาแนะนำวิธีใช้เจ้า Guided Access กันนะครับ ^ ^

เริ่มจากการเข้าไปเปิดการใช้งาน Feature นี้กันที่
 Setting > General > Accessibility > Guided Access > เปิดใช้งานและตั้งรหัสเพื่อใช้ในการปิด/เปิด Guided Access


Setting

General

Accessibility
Guided Access

เลือกเปิด จากนั้นระบบจะให้ใส่ Passcode

เปิด Accessibility Shortcut เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งาน

ขั้นตอนการเปิดใช้งานเมื่อมีคนยืมสมาร์ทโฟนของเราไปแล้วบอกว่ายืมโทรหาเพื่อนหน่อย

ให้ทำการเปิดแอพที่เขาจะใช้ เช่น โทรศัพท์ จากนั้น Triple Click ที่ปุ่ม Home (กดปุ่ม Home 3 ครั้ง)
จากนั้นระบบ Guided Access จะเริ่มทำงาน เมื่อระบบนี้ถูกเปิดเครื่องจะถูกล็อคให้อยู่ในแอพนั้นจนกว่าเราจะสั่งปิด Guided Access คราวนี้คนที่ยืมโทรศัพท์จะไม่สามารถทำอะไรได้นอกจาก โทรศัพท์ ^ ^ ถ้าเป็นในแง่ของการใช้ในการเรียนการสอนก็คือ ห้ามออกจากแอพที่ครูกำลังสอนอยู่นั่นเองครับ และเมื่อเพื่อนของเรายืมเสร็จขั้นตอนการปิด Guided Access ก็คือ Triple Click ที่ปุ่ม Home (กดปุ่ม Home 3 ครั้ง) อีกครั้งและระบบจะถาม Passcode ที่ตั้งไว้ จากนั้นให้เลือก End ระบบก็จะปิด ซึ่งเราจะสามารถกดออกจากแอพได้แล้วในตอนนี้ ถ้าไม่เห็นภาพผมจะอธิบายด้วยภาพเลยละกันนะครับทีละ Step

หลังจากกดเปิดใช้ หากกดซ้ำแล้วใส่ Passcode จะสามารถตั้งค่าว่าจะให้ทำอะไรได้บ้างโดยกดที่ Option


เราสามารถกำหนดได้ว่าจะอนุญาตให้ทำอะไรกับแอพนี้ได้บ้างโดยจะมี
- Sleep จอ / กดปุ่ม Lock
- ปุ่มปรับเสียงด้านข้าง
- อนุญาตให้ทัชสกรีนได้ (หากไม่เปิดจะไม่สามารถทัชได้)
- การขยับหรือหมุน บางแอพสามารถหมุนเพื่อให้ภาพใหญ่ได้
หากคนที่ยืมของเราไป พยายามที่จะทำอะไรที่เราไม่อนุญาต ระบบก็จะฟ้องตามภาพครับ
หลังจากกด Home 3 ครั้งเพื่อที่จะปิดเครื่องจะถามรหัส
จากนั้นเราจะสามารถ End ได้ครับ

หวังว่าระบบนี้คงจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่ใช้ iPhone นะครับ ^ ^

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2556

คืนชีพให้กับปุ่ม Home บน iPhone,iPad และ iPod touch สุดรักให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม

วันนี้ผมมีวิธีการแก้ปัญหาปุ่ม Home บน iPhone คู่หูที่อยู่คู่กันมานาน เริ่มจะมีปัญหากดติดบ้าง ไม่ติดบ้าง บางคนอาจคิดว่าปุ่มกดอาจจะเสียแล้วก็เป็นได้ แต่ก่อนจะคิดอะไรไปไกล มาทำตามขั้นตอนง่ายๆ ในการฟื้นคืนชีพให้กับปุ่ม Home บน iPhone สุดรักกันดูก่อน ดังนี้
1.เริ่มจากเปิดแอพอะไรก็ได้ดังนี้ Weather, iTunes, Stocks หรือแอพอะไรก็ได้ที่มากับเครื่องตอนแรก (แนะนำ Weather )
2.จากนั้นกดปุ่ม Power ค้างไว้จนขึ้นหน้าจอเหมือนเราจะปิดเครื่อง “slide to power off” ให้ปล่อยมือจากปุ่ม Power
3.จากนั้นให้กดปุ่ม Home ค้างไว้ขณะที่หน้าจอยังขึ้น “slide to power off” ให้กดค้างไว้ จนกว่าหน้าจอนี้จะหายไปเอง
จากนั้นจะเห็นได้ว่าปุ่ม Home สามารถใช้งานได้ปกติเลยทีเดียว ซึ่งการที่เราทำข้างต้นนั้นคือการ Recalibrated ค่าของปุ่ม Home ให้กลับมาเป็นค่าปกตินั่นเอง ซึ่งจากการที่ใช้งานมานานอาจจะทำให้ตัวตำแหน่งมีการคลาดเคลื่อน นั่นเอง แต่วิธีนี้ไม่สามารถใช้กับเครื่องที่มีการตกจากที่สูง หรือโดนน้ำเข้าเครื่องได้ เหมาะสำหรับเครื่องใช้งานปกติ แต่มีอาการกดปุ่ม Home ยากนั่นเอง
จากการทดสอบสามารถใช้งานดีเลยทีเดียวและวิธีนี้สามารถใช้กับ iPhone, iPad และ iPod touch ได้หมดครับ

วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2556

การขอเงินคืนจาก Google Play Store เมื่อทำการซื้อแอพไปแล้ว

หลายคนที่ใช้สมาร์ทโฟน Android คงได้ใช้บริการซื้อแอพ เกม และอื่น ๆ บน Google Play Store วันนี้เรามีทิปส์ในการขอเงินคืน หากซื้อผิดแอพ หรือไม่ชอบแอพนั้น ๆ แต่เราจะมีเวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้นในการขอเงินคืนนับจากสั่งซื้อและจ่ายเงินสำเร็จ และเริ่มดาวน์โหลดแอพ หากเกิน 15 นาทีไปแล้ว ต้องติดต่อนักพัฒนาแอพนั้น ๆ เพื่อขอเงินคืนครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก:D
Google_Play
ขั้นตอนการขอเงินคืนหลังจากซื้อแอพ
1. หลังจากทำการซื้อและชำระเงินค่าแอพสำเร็จแล้ว ระบบจะส่งรายละเอียดการชำระเงินมาให้ทางอีเมล เพื่อยืนยันการสั่งซื้อและการชำระเงินสำเร็จเรียบร้อย
Refund & purchase policies (1)

2. เมื่อชำระเงินเรียบร้อย แอพจะถูกดาวน์โหลดและติดตั้งบนมือถือของเราทันที หลังจากติดตั้งเสร็จเรียบร้อย ปุ่มราคา จะเปลี่ยนเป็นคำว่า REFUND หากต้องการยกเลิกและขอเงินคืนให้กดปุ่มนี้ทันทีภายใน 15 นาทีเท่านั้น หลังจาก 15 นาทีไปแล้ว ปุ่มนี้จะหายไปและไม่สามารถขอเงินคืนได้ด้วยวิธีนี้ ต้องติดต่อนักพัฒนาแอพนั้น ๆ เพื่อขอเงินคืนครับ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากมาก
Refund & purchase policies (3)

3. ให้กดที่คำว่า Yes เพื่อยืนยันการยกเลิกการซื้อและขอเงินคืน หลังจากนั้นระบบจะทำการยกเลิก และถอนการติดตั้งแอพนั้น ๆ ออกจากมือถือเราทันที และเราจะได้รับอีเมลยืนยันการขอเงินคืนด้วย
Refund & purchase policies (2)

ภาพด้านล่างนี้ธนาคารได้ส่ง SMS ว่ามีเงินเข้ามาครับ นั่นคือระบบได้ทำการคืนเงินที่ยกเลิกการซื้อแอพข้างบน ใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงกว่า ๆ เท่านั้นครับ หลังจากเขียนบทความนี้เสร็จก็ได้รับเงินคืนแล้วเร็วมาก ๆ เลย
refunded
  • ระยะเวลาในการได้รับเงินอาจจะใช้เวลาหลายวันทำการ แต่ไม่เกิน 7 วันทำการครับ
  • สำหรับการขอเงินคืนการซื้อของในแอพ เกม เช่นเพชร เหรียญต่าง ๆ (In-app purchase) จะไม่สามารถใช้วิธีข้างต้นนี้ได้ ต้องติดต่อนักพัฒนาแอพเท่านั้น เพื่อดำเนินการขอเงินคืนครับ
ดังนั้นควรคิดให้ดีก่อนทำการซื้อแอพต่าง ๆ เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับการคืนเงินนะครับ
Credit - iPhone-Droid.net

วันศุกร์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Android 4.4 KitKat Concept

:: Android: ภาพหลุดหน้าตา Android 4.4 KitKat มีของใหม่มาเพิ่มไม่น้อยเลยแฮะ! ::

Android อัพเดทข่าวล่าสุดกับ ป๋าเอก TechXcite มาแล้วจ้าภาพหลุดหน้าตาอินเตอร์เฟซการใช้งานของAndroid 4.4 ว่าที่ระบบปฏิบัติการเวอร์ชั่นต่อไปจาก Google ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นภายในอยู่ไม่น้อยทีเดียวเลยแฮะ
โดยภาพที่ออกมาจากเว็บไซต์ Gadget Helpline โชว์ให้เห็นว่า Android 4.4 มีการปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงดีไซน์และคุณสมบัติใหม่ๆหลายอย่างทีเดียวไม่ว่าจะเป็น...
 
รองรับการปรินต์ไฟล์ร่วมกับปรินเตอร์ได้เลยโดยไม่ต้องใช้แอปเพิ่มเติม
มีออปชั่นการตั้งค่าการจ่ายเงินแบบไร้สายผ่าน NFC หรือ Google Wallet ในตัว
ระบบแชร์ออกหน้าจอใหญ่แบบไร้สายผ่าน Miracast ในตัว
เมนูโทรศัพท์สีสันสดใสขึ้นเยอะ
มีแอป Google Drive สำหรับจัดการไฟล์เอกสารติดตั้งมาเลยในตัว
ตั้งค่า Remote Lock และ Factory Reset ผ่านทาง Android Device Manager ได้หากเครื่องหาย
แอปกล้องมีฟิลเตอร์การแต่งภาพที่ดูหรูหราและใกล้เคียงกับ Instagram มากขึ้นกว่าเดิม

[How to?] วิธีแก้ Task Bar หายไป (ไม่ใช่ Auto Hide)

วิธีแก้ไข Task Bar หายไป (ไม่ใช่ Auto Hide)(Microsoft Windows 7)         เป็นเหตุการณ์ที่พบไม่บ่อยนักนะครับที่ Task Bar หรือแถบงาน โดยป...